
![]() | Name | เรื่องราวของ Kuntur |
Type (Ingame) | ไอเทมเควสต์ | |
Family | เรื่องราวของ Kuntur | |
Rarity | ![]() | |
Description | นิทานพื้นบ้านที่เคยถูกเล่าขานปากต่อปากใน Natlan มานาน ส่วนใครคือผู้เขียนคนแรกสุดนั้น ไม่สามารถยืนยันได้แล้ว |
Item Story
หลังจากที่ Qoyllor กลับขึ้นไปบนฟ้า Ukuku ที่ถูกยิงด้วยลูกธนูทองคำจนตาบอดก็ยังคงอยู่ที่เผ่า เลี้ยงดู Kuntur ที่ยังเด็กอยู่ตามลำพัง ผู้คนส่วนใหญ่ในเผ่าต่างรู้สาเหตุของเรื่องนี้ดี แม้จะไม่ได้ขับไล่พ่อลูกคู่นี้ออกจากเผ่า แต่ถึงอย่างนั้นเด็กน้อยที่ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำอย่าง Kuntur ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เช่นเดียวกับพ่อผู้เงียบขรึมของเขา ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวที่ใด ดวงอาทิตย์ก็จะถอยหนีไปหลบหลังเมฆครึ้มหนา และเก็บแสงแดดกลับมา ใครจะรับประกันได้ว่าดวงอาทิตย์ จะไม่พาลโกรธคนที่สนิทสนมกับพวกเขาไปด้วย? ในเวลานั้นคนในเผ่าจึงไม่มีใครอยากติดร่างแหนี้ไปด้วย แม้จะถูกสุริยันหมางเมิน แต่ Kuntur ก็เติบโตขึ้นมาจนได้ ในที่สุด เช่นเดียวกับผล Grainfruit ที่อยู่หน้าบ้านของเขาที่มีขนาดเล็กกว่าของเพื่อนบ้านมาก เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มที่อายุใกล้เคียงกับเขาแล้ว Kuntur นับว่ายังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่เคยรู้ว่าการที่แสงแดดอันอบอุ่นอาบไล้ร่างกายนั้นให้ความรู้สึกยังไง ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของเขาจึงขาวซีด ไม่ได้มีสีเลือดฝาดและแข็งแรงเหมือนเด็กทั่วไป หากแต่ดวงตาของเขากลับเป็นประกาย ดุจดวงดาวเช่นเดียวกับแม่ของเขา ต้องรู้ว่า ผู้เป็นพ่อของเขาในตอนนั้น ก็ถูกดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวนี้ดึงดูดเช่นกัน จนทำให้ตัดสินใจทำเรื่องโง่เขลาและถูกลงโทษเช่นนี้ "จะมี Iktomisaurus ที่ไม่ชอบอาบแดดบ้างมั้ยนะ?" วันหนึ่ง Kuntur ถาม Ukuku เช่นนี้ Ukuku ไม่ตอบอะไร เพียงเหลาธนูของเขาอยู่เงียบ ๆ... แม้ว่าเขาจะตาบอด แต่เขาก็ยังคงเป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม การที่ Kuntur ถามแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะตอนนั้น เด็ก ๆ ในเผ่าไม่มีใครไม่ตัวติดกับ คู่หู Saurian เลย! Kuntur เองก็อยากมีคู่หู Saurian ของตัวเองเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มี Iktomisaurus ตัวไหนที่เต็มใจจะใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดนาน ๆ นั้น ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูมีชีวิตชีวามากกว่าในตอนกลางคืน แต่ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่า การที่ถูกพรากแสงแดดไปทั้งหมดนั้น สำหรับพวกมันแล้วเป็นเรื่องที่ไม่อาจรับได้ Kuntur ตามหาอยู่นาน แต่ก็ไม่เจอ Iktomisaurus ที่ไม่ชอบอาบแดดและเต็มใจจะเป็นคู่หูของเขา ส่วน Ukuku ซึ่งเป็นคนเดียวที่เขาพึ่งพาได้ ก็เอาแต่ล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงดูเขาเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องคู่หู Saurian เลย แต่จะว่าไปแล้วก็โทษเขาไม่ได้ คู่หู Saurian ของ Ukuku ได้เลือกที่จะเป็นผู้ช่วยของเธอ ตั้งแต่ตอนที่ Qoyllor ออกจากเผ่า และกลับสู่ป่าด้วยกันกับเธอ ส่วน Ukuku ก็คุ้นเคยกับการที่ไม่มีคู่หู Saurian แล้ว เช่นเดียวกับที่เขาคุ้นเคยกับการไม่มีแสงแดด และการที่เขาสูญเสียการมองเห็นไป เขายังคิดว่า Kuntur จะชินและไม่ถามอะไรมากอีกเหมือนกับเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้ความเงียบรับมือ โชคดีที่ Kuntur เหมือนเขาแค่ครึ่งเดียว ไม่งั้นก็คงไม่มีเรื่องราวหลังจากนั้นแล้ว Kuntur ไม่ใช่คนที่ยอมรับชะตากรรมง่าย ๆ ถึงแม้จะยังหา คู่หู Iktomisaurus ไม่เจอ แต่เขาก็ไม่ยอมให้คนมาหัวเราะเยาะเย้ยเช่นนี้ สำหรับเด็กที่เยาะเย้ยเขาพวกนั้น เขาจะ... โต้ตอบ หากแต่โต้ตอบด้วยกำปั้น หาใช่คำพูดไม่ ตอนแรกเขามักจะแพ้อยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเขาตัวเตี้ยและไม่มีพละกำลังมากนัก เมื่อเห็นเขาล้มไปกองกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือด เด็ก ๆ ที่เยาะเย้ยเขาก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข แต่เมื่อเวลาผ่านไป เด็กนิสัยไม่ดีพวกนั้นก็เลิกหัวเราะ และไม่กล้าเยาะเย้ย Kuntur อีกต่อไป เพราะพวกเขาพบว่า Kuntur เรียนรู้ได้เร็วมาก และพละกำลังก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้จะไม่มีคู่หู Saurian ช่วยเหลือ เขาก็ยังสามารถใช้กำปั้นทำให้คนอื่นยอมสยบให้ได้ หลังจากที่เขาเปลี่ยนเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังลั่นพวกนั้น ให้กลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบ Kuntur ก็ยังคงไม่พอใจ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพละกำลังสามารถทำให้เด็กที่กำลังโตทำหน้ายอมแพ้ได้ แต่เขาก็ยังไม่มีคู่หู Saurian เป็นของตัวเอง และยังคงถูกสุริยันหมางเมิน แม้ว่าผู้ใหญ่ในเผ่าหลายคนจะไม่ได้เอ็นดูหรือเย็นชากับเขา แต่ Kuntur ก็ไม่ชอบสายตาที่พวกเขามองมานัก ดังนั้น Kuntur จึงตัดสินใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่มีใครดูถูกเขาอีกต่อไป และจะต้องมี Saurian ที่เต็มใจเป็นเพื่อนกับเขาอย่างแน่นอน ในไม่ช้าโอกาสก็มาถึง มีชายชราสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่งมาขอน้ำดื่มที่เผ่า คนในเผ่าสงสารเขา จึงได้เชิญเขาเข้ามาที่บ้าน: "ทุกคนในเผ่าเป็นคนดี ดูท่าทางคุณคงจะเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกล ไม่ต้องเกรงใจนะ ให้พวกเราดูแลคุณเอง" "พวกเธอเป็นคนดีจริง ๆ งั้นก็เอาอาหารอร่อย ๆ ออกมาต้อนรับฉันเถอะ ฉันหิวจนไส้จะกิ่วแล้ว!" เจ้าบ้านได้นำอาหารที่ดีที่สุดออกมาต้อนรับแขกคนนี้ แต่แขกคนนี้กินมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว ก็ยังไม่อิ่มสักที "มีอีกมั้ย? มีอีกมั้ย? ไม่ต้องเกรงใจ ยกมาให้หมดเลย!" เจ้าของบ้านหลังนี้จึงเชิญแขกผู้นี้ออกจากบ้าน ทว่าไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรให้กิน แต่เขายังต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวและตัวเองด้วยต่างหาก "ฉันจัดหาอาหารให้เขามาเจ็ดวันแล้ว เท่ากับพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฉันใจดีแค่ไหน ตอนนี้ก็ควรจะถึงตาคนอื่นบ้างแล้ว" คำว่าใจดีเป็นคำที่น่าฟัง และยิ่งน่าฟังเป็นพิเศษเมื่อถูกนำมาใช้นิยามตัวเอง ดังนั้นผู้คนในเผ่าจึงมอบสิ่งต่าง ๆ ให้กับชายชราที่ใส่เสื้อผ้าเก่าโทรมคนนี้ แต่ก็ไม่มีใครทำให้เขาพอใจได้ เพราะความต้องการของเขานั้นไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายไม่ว่าใครก็ต้องส่ายหน้า และโบกมือไล่ให้เขาจากไป มีเพียงตระกูล Kuntur เท่านั้นที่ไม่ได้ต้อนรับชายชราคนนี้ "เธอเองก็เป็นคนดี ถ้างั้นเธอจะเอาอะไรมาต้อนรับฉันล่ะ?" "เฮอะ! ไม่เคยมีใครบอกว่าฉันเป็นคนดี ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งให้คุณ ต่อให้มีฉันก็ไม่ให้หรอก เพราะคุณกินดื่มไปตั้งเยอะแล้ว และได้อะไรไปตั้งเยอะแล้วด้วย" เมื่อเห็น Kuntur ไล่ชายแก่ไป คนในเผ่าก็อดหัวเราะเยาะเขาไม่ได้ แต่ใครจะไปคิดว่า ชายแก่ที่ใส่เสื้อผ้าเก่าโทรมผู้นี้ก็คือจอมเวท Rumi ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ปลอมตัวมา ซึ่งบรรดาคนที่ตกปากรับคำว่าจะเลี้ยงดูปูเสื่อเขาแต่ไม่สามารถสนองความอยากอาหารของเขาได้ ก็จะต้องตกอยู่ภายใต้อาคมชั่วร้ายอันน่ากลัวของเขาทั้งหมด กว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นจากฝันร้าย Saurian ในเผ่าก็ถูกจอมเวท ลักพาตัวไปหมดแล้ว! หลายคนในเผ่าต่างก็เคยได้ยินข่าวลือน่ากลัวเกี่ยวกับจอมเวท Rumi ไม่มีใครรู้ว่าเขาลักพาตัว Saurian ในเผ่าไปทำอะไร แต่ทุกคนต่างรู้ว่าถ้าไม่หยุดเขาไว้ ผลที่ตามมาย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเห็น เพื่อที่จะชิง Saurian กลับมา ในเผ่าจึงได้ส่งนักรบที่เก่งกาจที่สุดสามคนไปท้าทาย ทว่านักรบทั้งสามคนนี้ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย "แม้แต่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะจอมเวท Rumi ได้ ถ้าไม่มีคู่หู Saurian คอยช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมเวท Rumi อยู่ดี..." ในขณะที่ผู้คนในเผ่ากำลังสูญเสียความมั่นใจ Kuntur ก็ได้ลุกขึ้นก้าวออกมา และประกาศอย่างกล้าหาญว่าเขาอยากจะลองดู เขาคือ "Kuntur ผู้ถูกสุริยันหมางเมิน"! เป็นคนที่ไม่เคยมีคู่หู Saurian มาก่อน จึงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครห้ามเขา "โชคดีที่ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถแย่งชิงสิ่งที่ฉันไม่เคยมีไปจากฉันได้" Kuntur คิดเช่นนี้ และออกเดินทางผจญภัยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ระหว่างทางที่ Kuntur มุ่งหน้าไป จอมเวท Rumi ได้ใช้อาคมเรียกหมอกหนาหลายชั้นออกมาล้อมรอบเขาไว้ เขารู้ว่า Kuntur ถูกสุริยันเกลียด จึงย่อมไม่มีแสงแดดที่สามารถปัดเป่าหมอกควันให้จางหายมาช่วยเปิดทางให้เขาได้ แต่ Kuntur เรียนรู้ทักษะการล่าสัตว์ และสะกดรอยจากการติดตามผู้เป็นพ่อที่ตาบอดตั้งแต่เขายังเด็ก ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังสามารถค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง ได้จากเสียงและกลิ่นอาย หมอกหนาที่ใช้อาคมเรียกมาจึงไม่อาจกักขังเขาไว้ได้ เมื่อแผนของจอมเวท Rumi ล้มเหลว เขาก็คิดแผนใหม่ขึ้นมาอีก โดยส่ง Pakpaka ที่พูดได้สามตัวมาข่มขู่และหลอกล่อเขา ซึ่ง Pakpaka ทั้งสามตัวนี้ก็คือนักรบที่เผ่าส่งมาก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างพ่ายแพ้เพราะจุดอ่อนของตัวเอง และถูก Rumi เปลี่ยนร่างให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่า "Kuntur ผู้ถูกสุริยันหมางเมิน" จะมีดีเหนือกว่าพวกตน จึงใช้คำพูดที่ Rumi ใช้หลอกตนไปหลอก Kuntur อีกที แต่ Kuntur ไม่ได้หลงกล เพราะที่พ่อของเขาถูกลงโทษ ก็เพราะถูกหลอกและถูกทรยศ เขาจึงเกลียดการโกหก และมองคำพูดหลอกลวงนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่งทันที ฝ่ายนักรบชนเผ่าที่ถูกจับไต๋ได้นั้น รู้สึกอับอายจนกลายเป็นความโกรธแค้น และคิดจะขัดขวางไม่ให้ Kuntur ไปต่อ Kuntur จึงได้แต่ใช้กำปั้นขอให้พวกเขาหลีกทาง ด้วยวิธีนี้ หลังจากผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงมา ในที่สุด Kuntur ก็ได้พบกับจอมเวท Rumi และพบกับ Saurian ที่ถูกลักพาตัวมาเหล่านั้น จอมเวท Rumi ใช้อาคมชั่วร้ายของเขา หมายจะทำให้ Kuntur กลัวจนสติแตก แต่ไม่ว่าจะเป็นคลื่นยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า หรือลาวาที่ร้อนแผดเผา ก็ไม่อาจทำให้เขาถอยหนีได้เลย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงกับดักที่สร้างขึ้นด้วยอาคมชั่วร้าย เช่นเดียวกับหมอกที่เคยเจอในหุบเขาก่อนหน้านี้ ไม่ควรค่าแม้แต่จะกล่าวถึงด้วยซ้ำ อาคมชั่วร้ายไม่มีผลกับ Kuntur ทว่ามีผลกับ Saurian ที่ถูกจอมเวท Rumi ลักพามา Rumi จึงเปลี่ยนไปใช้อาคมชั่วร้ายกับพวกมันแทน เพื่อทำให้พวกมันรับใช้ตน แต่คาดไม่ถึงว่าพวกมันเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ Kuntur ด้วยเช่นกัน "กำปั้นของนายแข็งยิ่งกว่าหินที่แข็งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นซะอีก!" ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับกำปั้นแบบนี้ จอมเวท Rumi เองก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าตนเสียเปรียบ เขาก็ไม่สนใจ Saurian ที่ถูกจับมาจากเผ่าพวกนั้นอีก รีบแปลงกายเป็นหมอกควันหนีหายไปทันที แน่นอนว่า Kuntur สามารถมองกับดักของอาคมชั่วร้าย และคำโกหกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เขาไม่สามารถจับกุมจอมเวทที่แปลงร่างเป็นควันได้ แต่เขาจะยอมแพ้ได้ยังไงกัน? เขาตั้งใจจะใช้เรื่องนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนในเผ่า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่า ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน เขาก็ต้องจับจอมเวท Rumi ให้ได้ ในเวลานี้เอง เขาเห็น Iktomisaurus ที่ยังคงถูกล่ามไว้ และคิดว่า ในเมื่อจอมเวท Rumi สามารถใช้อาคมชั่วร้ายเพื่อควบคุมพวกมันได้ บางทีเขาอาจใช้พลังกายอันแข็งแกร่ง เพื่อทำให้ Iktomisaurus ที่ไม่ใช่พวกพ้องยอมสยบให้ และช่วยเขาตามหาร่องรอยการหนีของ Rumi และแยกแยะร่างแปลงของ Rumi ได้ เมื่อเขาปลดพันธนาการของ Iktomisaurus ออก สิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารเหล่านี้ ยังคงได้รับผลกระทบจากอาคมชั่วร้าย พวกมันดิ้นรนขัดขืนและร้องคำราม จน Kuntur ต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อทำให้พวกมันสงบลง ส่วน Iktomisaurus ตัวที่กล้าหาญที่สุดในหมู่พวกมันนั้น Kuntur จำมันได้ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว "เอาล่ะ ตอนนี้แกต้องตามจอมเวท Rumi กับฉันไป เพื่อเกียรติยศของฉัน... เอ่อ และเพื่อนักรบชนเผ่าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็น Pakpaka ด้วย" ดูเหมือน Iktomisaurus จะไม่ยอมรับ และต้องการจะสลัดตัวหนีออกมา แต่กลับถูก Kuntur กดไว้จนขยับตัวไม่ได้ เจ้าสัตว์ตัวนี้มองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย จนทำให้เขาผู้ไม่เคยกลัวสิ่งใดนึกหวั่นใจ แน่นอนว่าเขาสามารถทำให้ Iktomisaurus ยอมเชื่อฟังได้ แต่ถ้าทำแบบนี้จริง ๆ เขาก็ไม่เข้าใจว่า เขาต่างจากจอมเวท Rumi ตรงไหน? แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจได้ โดยที่ไม่ได้ลังเลใจนานนัก "บินไปซะ! ไปยังที่ที่แกอยากไป" ทันทีที่ Kuntur ปล่อยมือ Iktomisaurus ก็กระพือปีกบินขึ้นไป และหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ Kuntur จึงสะกดตามจอมเวท Rumi เพียงลำพัง Saurian ที่ถูกปล่อยตัวนั้นพูดไม่ได้ ส่วนเกียรติยศที่ไม่มีผู้ใดเป็นประจักษ์พยาน ย่อมไม่ใช่เกียรติยศอย่างแท้จริง นี่ต่างหากคือก้าวแรกของ Kuntur ในการพิสูจน์ตัวเอง และเป็นก้าวที่ทำให้เขากังวลด้วยเช่นกัน: จอมเวท Rumi กลายเป็นหมอกควันสายหนึ่ง และไม่รู้ว่าลอยไปทางไหนตั้งนานแล้ว เขาเคยได้ยินนักเล่าเรื่องและผู้ส่งสารที่รอบรู้ในเผ่า พูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับจอมเวท Rumi เดาว่าเขาน่าจะแปลงร่างเป็นสัตว์ เพื่อหลบหนีการตามล่า ดังนั้นระหว่างทางเขาจึงประลองกับ Long-Necked Rhino และแข่งขันชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันกับตั๊กแตน แต่กลับไม่ได้อะไรเลย ดูทรงแล้วถ้าหากไม่มีคู่หู Iktomisaurus คอยช่วยเหลือ การจะจับตัวจอมเวท Rumi ย่อมไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร แต่สิ่งที่ Kuntur ได้รับสืบทอดจาก Qoyllor ไม่ได้มีเพียงดวงตาที่ทอประกายเหมือนดวงดาวเท่านั้น เช่นเดียวกับที่ Qoyllor เคยเดินทางไปทั่วดินแดนรกร้าง และค้นหาร่องรอยของชิ้นส่วนดวงดาวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย Kuntur เองก็ไม่เคยท้อใจระหว่างที่ไล่ตามจอมเวท Rumi และความมั่นใจก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเลยนับตั้งแต่ออกจากเผ่า จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้ยินเสียงคำรามที่คุ้นเคย นั่นคือเสียงของ Iktomisaurus ที่เขาปล่อยไปนั่นเอง มันเป็น Saurian ที่กล้าหาญที่สุดในเผ่า แต่กลับไม่มีคู่หู มันเคยจากไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง เราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ Iktomisaurus เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา อีกทั้งมันยังเลือกคู่หูเองด้วย คิดว่าคงเพราะ Iktomisaurus ยอมรับเขาแล้ว มันถึงได้ย้อนกลับมา และยินดีที่จะนำทางให้ Kuntur ด้วยความเต็มใจ ด้วยความช่วยเหลือจากคู่หู Iktomisaurus จอมเวท Rumi จอมเจ้าเล่ห์จึงไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป จอมเวท Rumi แปลงร่างเป็นกวางสีน้ำตาลเพื่อหลบหนีจาก Kuntur แต่ฝีเท้าของเขารวดเร็วมากไม่แพ้กวางเลย Rumi เกือบจะถูกเขาไล่ตามทันอยู่แล้ว จึงรีบแปลงร่างเป็นโลมาและกระโดดลงน้ำทันที เขาแอบกระหยิ่มใจว่า Kuntur ไม่คุ้นเคยกับน้ำเท่าไหร่ คราวนี้ต้องสลัดหลุดได้แน่ ทว่า คู่หู Iktomisaurus ของ Kuntur ไม่เพียงแต่กล้าหาญเท่านั้น แต่ยังมีคุณธรรมแห่งปัญญาด้วย มันกระพือปีกอยู่กลางอากาศ แล้วเรียกพายุหมุนออกมาเป็นระลอก Kuntur ขี่พายุและไล่ตามด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ราวกับติดปีกไว้ที่เท้า ซึ่งถ้าพูดถึงความเร็วแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่า Rumi ที่แปลงร่างเป็นโลมาเลย Rumi ตกใจมาก เขากระโดดออกมาจากน้ำ คราวนี้เขาแปลงร่างเป็นนกบินทะยานขึ้นไปบนเมฆ ถ้าให้ฉันพูดละก็ นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ถ้าเป็น Kuntur คนเดิม บางทีเขาอาจจะท้อแท้ในเวลาแบบนี้ แต่ตอนนี้เขามีผู้ช่วยแล้ว สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คู่หู Iktomisaurus ของ Kuntur พาเขาทะยานผ่านหมู่เมฆ จนในที่สุดก็ไล่ตามจอมเวทเจ้าเล่ห์ได้ทัน Rumi เห็นว่าตนไม่เหลือทางหนีแล้ว จึงแปลงกายเป็นก้อนหินยักษ์ โดยคิดว่าทำแบบนี้แล้ว ถึง Kuntur จะพาตัวเขาไปก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเขาได้ ทว่า Kuntur กลับจับก้อนหินไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ "บินขึ้นไปเลยเพื่อน! บินขึ้นสูงกว่านี้อีกหน่อย!" พวกเขาบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนขึ้นไปอยู่เหนือมวลเมฆทั้งปวง ที่นั่น Kuntur ได้เห็นแสงแดดเป็นครั้งแรก แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ดวงอาทิตย์ก็เรียกเมฆหนาออกมาล้อมพวกเขาไว้ Kuntur และคู่หู Iktomisaurus ของเขาจึงต้องหาทางออกไปให้ได้ และเพราะเรื่องนี้ พวกเขาจึงต้องเดินทางฝ่าแม้กระทั่งพายุฝนฟ้าคะนองที่อยู่ในชั้นเมฆ อุณหภูมิบนที่สูงนั้นหนาวสุดขั้ว แม้แต่ขนตาของ Kuntur ก็ยังมีน้ำค้างแข็งสีขาวเกาะพราว ส่วน Rumi ที่แปลงร่างเป็นหินก็ถูกแช่แข็งไว้อย่างแน่นหนา และดูเหมือนจะไม่สามารถก่อเรื่องชั่วร้ายอะไรได้อีกต่อไป หลังจากเผชิญความยากลำบากมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด Kuntur พร้อมด้วยคู่หูก็กลับมาถึงที่เผ่า และเล่าประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์นี้ให้ทุกคนฟัง จากนั้นก็วางหินซึ่งเป็นร่างแปลงของจอมเวท Rumi ไว้ในที่เหมาะสม ส่วนนักรบชนเผ่าทั้งสามที่ถูก Rumi เปลี่ยนให้กลายเป็น Pakpaka นั้น เนื่องจาก Rumi ผู้เป็นคนร่ายอาคมได้กลายเป็นหินไปแล้ว พวกเขาจึงกลับมาเป็นมนุษย์ได้ดังเดิม แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงหลบเลี่ยง Kuntur เหมือนเช่นเมื่อก่อน ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือเกรงกลัว แต่เพราะละอายใจและนึกเสียใจภายหลัง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยคิดจะหลอกลวง Kuntur ด้วยคำโกหกที่น่ารังเกียจ ด้วยวิธีนี้ Kuntur จึงได้พิสูจน์ตัวเองต่อผู้คนในเผ่า และได้รับเกียรติยศ แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ในที่สุดเขาก็มีคู่หู Iktomisaurus เป็นของตัวเองแล้ว! |
Skirk in her ideal team would have copious amounts of DMG%, thus she's quite ATK-hungry. Mistsplitt...